Thursday, April 5, 2012

ร่วมโครงการพัฒนาแพทย์แผนไทยและสมุนไพร

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 55 ที่ผ่านมา รพ.สต.ห้วยไห ต.หนองบัว อ.คง จ.ว.นครราชสีมา โดย ผอ.จรรยา รัตนรักษ์ และคณะเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้จัดให้มีการอบรม อสม.(อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ณ ศาลาวัดห้วยไห ตามโครงการพัฒนาแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โดยมีท่านสาธารณสุขอำเภอคง นายปกรณ์ เนตระกูล ให้เกียรติมาเป็นประธาน
ในงานจัดให้มีการบรรยายเรื่องการใช้สมุนไพรเป็นยาโดยเภสัชกร(ภาพล่างเสื้อฟ้า)คุณหมอจรรยา รัตนรักษ์ ผอ.รพ.สต.ห้วยไห และทีมงานอบรมการนวดคลายเส้นในงานยังได้สาธิตการต้มน้ำใบรางจืดให้ดื่ม เพื่อล้างสารพิษสามารถต้มดื่มได้ทุกวัน วันละ 1-2 แก้วแต่ไม่ควรดื่มก่อนนอน และผู้เป็นโรคความดันต่ำไม่ควรดื่ม (หญิงมีครรภ์ห้ามรับประทาน) อีกทั้งยังมอบต้นรางจืดให้ อสม.ทุกคนไปปลูกไว้ที่บ้านอีกด้วย ปิดท้ายด้วยการบรรยายเรื่องการทำน้ำลูกยอ การทำน้ำมันมะพร้าว การทำมะรุมผงบรรจุแคปซูล เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของการดูแลสุขภาพ โดยวิทยากรจากสวนศานติร่มเย็น อ.ขามสะแกแสงน้ำลูกยอขยายพร้อมดื่มน้ำมันมะพร้าวและมะรุมผงบรรจุแคปซูล

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดี




















































































































































































Sunday, June 12, 2011

การทำมะรุมผง

เผอิญผู้เขียนมีเวลาว่างช่วงปิดภาคเรียนตลอดเดือนเมษายน 54 ที่ผ่านมา จึงได้ค้นหาการนำสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ บังเอิญได้เปิดดู YouTube เรื่องสรรพคุณของใบมะรุมและการแปรรูปเพื่อใช้รักษาโรคของประชาชนในทวีปแอฟริกา ที่
http://www.youtube.com/watch?v=KqPBmERC7OU&feature=related
จึงได้ศึกษาเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ต่างๆในบ้านเรา เมื่อสรุปรวบรวมข้อมูลบางส่วนได้แล้วจึงทดลองปลูกไว้ในสวนหลังบ้านของผู้เขียนเอง และหลังจากได้ทดลองกินมาแล้ว 2 เดือนกว่าก็ไม่พบอาการแพ้ใดๆ อีกทั้งยังพบว่าการบริโภคมะรุม สามารถช่วยในเรื่องการเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ทำให้ไม่เป็นตะคริวง่ายด้วย ดังที่ได้รวบรวมไว้ข้างล่างนี้ทำไมวงการแพทย์ยกให้มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์?ใบมะรุมสด ***คัดลอกข้อมูลมาจาก "หนังสือนาฬิกาชีวิต ตอน 2"
มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต โดย ดร.วิไลวรรณ อนุสารสุนทร***
และข้อมูลจากThai herbs Clinic

เพราะว่า มะรุมเป็นพืชที่ได้รับการวิจัยพบว่ามีสารอนุมูลอิสระมากถึง 64 Antioxidants ซึ่งถือว่าติดอันดับต้นๆของพืชพรรณไม้ในโลกนี้ นอกจากนี้มะรุมยังมีธาตุเหล็กสูงกว่าใบผักโขม 26 เท่า เป็นสาเหตุที่ทำให้ใบมะรุมมีสรรพคุณสูงในการ บรรเทาโรคร้ายหลายโรค อาทิ มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิต เพิ่มปริมาณซีดี 4 เกาต์ และโรคใหม่ในหนุ่มสาว คือโรคตาบอดและโรคสายตาจากคอมพิวเตอร์ โรคไขข้อจากการพิมพ์นานๆ การนั่งท่าผิดปรกตินานๆ จนเกิดอาการไขข้อ ซึ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่เกิดจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ถึงสารอาหารที่มีในใบมะรุม ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก

การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้ นอกจากนี้ยังมีสารอาหารเปรียบเทียบได้ดังนี้
สารอาหารเปรียบเทียบกรัมต่อกรัมในมะรุม
วิตามินซี มากกว่าส้ม 7 เท่า
มีแคลเซียม มากกว่านม 4 เท่า
มีวิตามินเอ มากกว่าแครอท 4 เท่า
มีโปรแตสเซียม มากกว่ากล้วย 3 เท่า
มีโปรตีน มากกว่านม 2 เท่า
ประโยชน์ของมะรุม1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง

4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ดังการรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศ แอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแผนปัจจุบัน หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้

10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

ใบมะรุม 100 กรัม(คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)พลังงาน 26 แคลอรี
โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน 0.1 กรัม
ใยอาหาร 4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)

วิธีรับประทานใบมะรุมแคปซูลที่มา http://maroomfluke.mymarket.in.th/maroom8.html

ใบมะรุมแคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม
รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล หลังอาหาร เช้า-เย็น (สำหรับบุคคลทั่วไป)
ครั้งละ 3-6 แคปซูล หลังอาหาร เช้า-เย็น (สำหรับผู้ป่วย)
ใบมะรุมแคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล หลังอาหาร เช้า-เย็น (สำหรับบุคคลทั่วไป)
ครั้งละ 2-4 แคปซูล หลังอาหาร เช้า-เย็น (สำหรับผู้ป่วย)

หรือหากรับประทานชนิดแคปซูลยาก ก็อาจแกะมะรุมผงจากแคปซูลโรยบนข้าวหรืออาหารก็ได้ รสชาติก็เหมือนทานข้าวตามปกติ แต่มีสีเขียว ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน มะรุมแคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม 4 แคปซูลเท่ากับ 1 ช้อนชาโดยประมาณ โดยปกติแล้วสมุนไพรไทยทุกชนิด ไม่ควรทานติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ และขับสารต่างๆออกมาบ้าง ดังนั้นเมื่อทานมะรุมไปได้สัก 5-6 เดือน จึงควรหยุดพัก 2-3 สัปดาห์ เพราะใบมะรุมมีวิตามินที่เข้มข้น หากรับประทานในระยะยาวอาจทำให้ได้รับวิตามินบางตัวมากเกินความจำเป็น
ใบมะรุมแคปซูลนั้นไม่ใช่ยาวิเศษ หากท่านกำลังรับการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันก็ไม่ควรหยุดยา เพื่อมารับประทานมะรุมอย่างเดียว ทางที่ดีที่สุดควรรับประทานควบคู่กันไป ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แก่ตัวท่านเองข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD (โรคเม็ดโลหิตแดงแตกกระจาย)ไม่ควรรับประทานคลิกดูที่รายการ"กินอยู่คือ" - มะรุม พืชมหัศจรรย์ 23 sep.10 ¼
(ชาใบมะรุมและวีทีอาร์ประโยชน์ของมะรุม)
ที่ http://youtu.be/CmkrselV3RA
(ล่าง)บันทึกภาพโดยผู้เขียนเริ่มการเพาะเมล็ด-ปลูกก่อนเก็บใบให้ฉีดน้ำรดใบให้หมดฝุ่น ตัดกิ่งเลือกใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่ รูดเอาแต่ใบ ตากไว้ในที่ร่มจนใบแห้งกรอบ จากนั้นเก็บไว้ในถุงพลาสติก เพื่อรอการนำมาแปรรูป หากพบใบที่มีเพลี้ยหรือไม่สมบูรณ์ ให้คัดทิ้ง ใบที่ตากในร่มแล้ว 3 วัน เก็บไว้ในถุงพลาสติกเพื่อกันความชื้น เมื่อว่างจากงานผู้เขียนจะตำไว้ ร่อนในตะแกรง เก็บใส่ขวดแก้วมีฝาปิด ก่อนนำไปบรรจุในแคปซูล
จากนั้นซื้อแคปซูลเปล่ามาบรรจุ ใช้ด้านยาวกดลงบนผงมะรุม แล้วปิดด้วยด้านสั้น กดให้เข้ากันแน่น เก็บไว้ในภาชนะกันชื้น (แคปซูลเปล่า ขนาด 250 มก.ซื้อได้ที่ร้านขายยา ราคา 1,000 เม็ด 120 บาท)






สิ่งที่น่าภูมิใจคือ เราสามารถผลิตวิตามินรวมไว้ทานเองได้ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย โดยไม่ต้องพึ่งยาแผนปัจจุบันซึ่งเป็นสารเคมีนั่นเอง















































































































Sunday, August 29, 2010

มะกรูดขับเสมหะลดอาการไอ

สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้มีเลือดกรุ๊ปโอ เพราะคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ชอบทานอาหารมันๆ เช่นกะทิ ครีม จึงทำให้มีเสมหะมาก

วิธีหมักมะกรูดชีวภาพ
มะกรูดที่ใช้หมักควรเลือกที่ไม่อ่อนและแก่จนเหลือง ล้างให้สะอาดก่อนหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หรือใส่ทั้งลูกก็ได้ เติมน้ำตาลทรายแดงในอัตราส่วน 3 ต่อ 1(มะกรูด 3 ก.ก.น้ำตาลทราย 1 ก.ก.) หมักทิ้งไว้ 3 เดือน ในภาชนะสะอาด มีฝาปิด ตั้งทิ้งไว้ในที่ร่ม เมื่อครบกำหนดแล้ว ให้กรองเอาน้ำเชื่อมมะกรูดชีวภาพใส่ขวดไว้จิบแก้อาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ

ส่วนมะกรูดในถังหมักที่เหลือก็ให้ใส่น้ำตาลทรายอีก 1 ก.ก. หมักต่อไปอีก 1 เดือน กรองเอาน้ำเชื่อมมะกรูดไว้ใช้แก้ไอ เจ็บคอ ขับเสมหะเช่นเดิม(หมักครั้งที่2)

ครั้งสุดท้ายก็ใส่น้ำตาลทรายอีก 1 ก.ก หมักต่ออีก 1 เดือน แล้วกรองทำเช่นเดิมก็จะได้น้ำเชื่อมแก้ไอ ขับเสมหะ ชีวภาพมะกรูดไว้ใช้โดยไม่ต้องพึ่งพายาแผนปัจจุบันซึ่งเป็นสารเคมี(การหมักครั้งที่ 3) ได้มะกรูดหมัก 5 เดือน

หลังจากการกรองครั้งที่สามแล้ว ผู้เขียนสังเกตว่ามะกรูดหมักของเราชักมีเหลือมาก จะนำมาใช้ประโยชน์อันใดดี จึงลองใส่น้ำตาลทรายไปในมะกรูดที่สิ้นน้ำยาแล้ว และหมักต่อ และลองเอาไปให้นักเรียนอมเวลาไอเจ็บคอ รู้สึกเป็นที่ชื่นชอบมาก เนื่องจากมีรสหวานปนขื่นนิดๆ ชุ่มคอดี ทำให้อาการไอ เจ็บคอลดลงถึงหาย จึงลองกด บีบ บดให้ละเอียดแล้วใส่น้ำร้อน เอ...ใช้ได้รสชาดดี จึงกลายเป็นน้ำมะกรูดชีวภาพเพื่อสุขภาพ สรรพคุณคือ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ขับเสมหะ ทำให้คอโล่งสบาย และช่วยปรับสภาพร่างกายให้สดชื่น
มีวิธีทำดังนี้ค่ะ
1. ตักเนื้อมะกรูดใส่ถุงพลาสติกใบขนาดย่อม ประมาณ 2 ถ้วยตวง
2. เทน้ำตาลทรายใส่ลงไปให้ท่วมเนื้อมะกรูด

3. ใช้ขวดช่วยในการบด บี้ให้ละเอียดที่สุด

4. จะได้มะกรูดชีวภาพเนื้อละเอียด
5. เตรียมภาชนะบรรจุที่สะอาด เทน้ำตาลทรายที่ก้นขวด ตักเนื้อมะกรูดชีวภาพใส่ลงไป

6.ก่อนปิดปากขวดให้เทน้ำตาลทรายก่อน เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงาน

วิธีการชงดื่ม
1. เทน้ำร้อนใส่ถ้วยประมาณครึ่งถ้วย
2. ตักมะกรูดชีวภาพประมาณ 2 ช.ช. (หรือ 1 ช้อนชาพูนๆ ดังภาพ) ใส่ลงไป3. คนให้เข้ากัน
4.กรองใส่ในภาชนะอีกถ้วยก่อนดื่ม
เท่านี้เราก็ได้เครื่องดื่มร้อนๆ เพื่อสุขภาพสำหรับคนในครอบครัวแล้วค่ะ