ที่มา เว็บไซต์บ้านไร่นาเรา
http://www.youtube.com/watch?v=Wh1fLdDWxSg&NR=1
วัตถุดิบ
1. ลูกยอแก่จัดลูกสีขาว 3 ก.ก.
2. น้ำตาลทรายแดง 1 ก.ก.
ภาชนะสำหรับบรรจุ ขวดโหลแก้วพร้อมฝาปิด หรือ ขวดพลาสติกสีขาว
วิธีทำ1.ล้างลูกยอให้สะอาด
2.หั่นเป็นท่อน
3.ใส่โหลปากแคบ
4.เทน้ำตาลทรายเป็นชั้นๆ คลุกให้เข้ากัน เทหัวเชื้อจุรินทรีย์ลงไปด้วย 1 ช.ต. ก็ได้ ปิดฝาหมักไว้ 15 วันในที่ร่ม ห้ามโดนแสง น้ำตาลจะซึมเข้าไปในเนื้อลูกยอ ทำให้นิ่มขึ้นเป็นการดึงธาตุอาหารจากลูกยอออกมา เมื่อครบ 15 วันแล้ว ให้เติมน้ำ โดยให้เหลือเนื้อที่จากปากโหลประมาณ 5 นิ้ว เนื่องจากจะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการหมัก หมักต่อไปจนครบ 3 เดือน
อาจเปิดฝาคนทุกสัปดาห์แล้วรีบปิดฝาภาชนะ ปกติอาจเกิดราสีขาวจากการหมัก ให้คนเพื่อให้เกิดการทำงานของจุลินทรีย์ ไม่ควรมี กลิ่นเหม็น หากกลิ่นไม่หอมสามารถเติมน้ำตาลได้เนื่องจากน้ำตาลเป็นอาหารของจุลินทรีย์
เมื่อหมักครบ 3 เดือน (รสชาดเปรี้ยวจัด) ให้นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง บรรจุลงขวดเหลือเนื้อที่ไว้ 1 ใน 3
วิธีดื่ม : ครั้งละ 2 ช้อนแกง (= 1 ช.ต.) หลังอาหาร ช่วยลดอาการแน่นท้อง เนื่องจากอาหารไม่ย่อย หรือรักษาอาหารท้องเสียเนื่องจากอาหารเป็นพิษ ถ้าดื่มยากให้ผสมน้ำได้
วิธีชงรับประทาน เพื่อความสดชื่นและเจริญอาหาร
1. เทน้ำหัวเชื้อ 1 ทัพพี ใส่ในภาชนะสำหรับผสม
2. ใส่น้ำตาลทราย(หรือน้ำผึ้ง) 4 ทัพพี หรือมากกว่าตามต้องการ
3. ใส่น้ำดื่มสะอาด 4 ทัพพี
คนให้ละลายเข้ากันดี บรรจุลงขวด เก็บเข้าตู้เย็นดื่มทุกวัน
(หรือปรุงรสตามชอบ)
สำหรับผู้เป็นโรคเบาหวานดื่มครั้งละ 1 แก้ว
เตรียมน้ำสะอาด 1 แก้ว ผสมกับหัวเชื้อน้ำลูกยอ 1 ช้อนโต๊ะ (ไม่ใส่น้ำตาล)
ดื่มวัน 2-3 ครั้ง หากตรวจพบน้ำตาลในเลือดลดลง ก็ดื่มลดลงเหลือเพียงวันละ 1-2 แก้วเท่านั้น
ถ้าต้องการให้อร่อยถูกปาก ให้หมักเฉพาะหัวเชื้อลูกยอ (ยอ 3 ก.ก. กับน้ำตาลทรายแดง 1 ก.ก. ไม่ต้องเติมน้ำ) และแยกหมักผลไม้อื่นๆตามชอบ โดยใช้สูตรหมักปกติ ( ผลไม้ 3 ก.ก. +น้ำตาลทราย 1 ก.ก. + น้ำสะอาด 8-10 ลิตร ) หมัก 3 เดือนจึงนำมาปรุงรวมกับหัวน้ำเชื้อลูกยอก็ได้
สิ่งสำคัญและข้อควรคำนึงคือ
1. ได้ลดปริมาณขยะจากผลไม้ในบ้านและในท้องถิ่น
2. ทุกอย่างต้องสะอาดจริง ไม่มีแมลงวันตอมขณะทำ
3. ปรับปรุงสูตรตามความชอบ แต่ควรต้องผ่านการหมักอย่างน้อย 3 เดือน หากไม่มีกลิ่นเปรี้ยวมาก และไม่หอม แสดงว่าน้ำตาลน้อย ให้เพิ่มน้ำตาลและหมักต่อ
4. ภาชนะหมักควรปิดฝาให้สนิทและวางในที่ร่ม ห้ามตากแดด
ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีตลอดไปค่ะ
No comments:
Post a Comment